Biostimulants Market

ขนาดตลาดสารกระตุ้นชีวภาพ

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สารกระตุ้นชีวภาพ (Biostimulants) ได้กลายเป็นพระเอกตัวจริงของวงการเกษตรสมัยใหม่ เพราะตอบโจทย์แนวคิดการผลิตพืชแบบปลอดภัยและยั่งยืน ข้อมูลล่าสุดระบุว่าในปี 2565 ตลาดสารกระตุ้นชีวภาพทั่วโลกมีมูลค่าถึง 156,350 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าภายในปี 2570 จะพุ่งสูงถึง 255,150 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.32% ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้ผลิตและเกษตรกรทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญกับวิธีดูแลพืชที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพราะเห็นถึงศักยภาพของ Biostimulants ที่ช่วยลดการใช้สารเคมีได้จริง

เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าตลาดของ สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช จะเห็นภาพได้ชัดขึ้นว่าตลาดสารเคมียังคงครองส่วนแบ่งใหญ่กว่า โดยในปี 2567 มูลค่าของตลาดสารกำจัดศัตรูพืชสูงถึง 2,246,300 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2575 จะขยับขึ้นไปถึง 3,295,350 ล้านบาท แม้จะมีการเติบโตแต่กลับขยายตัวเฉลี่ยเพียง 5.39% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าตลาดสารกระตุ้นชีวภาพเกือบครึ่งหนึ่ง สิ่งนี้สะท้อนว่าความต้องการใช้สารเคมีเพื่อควบคุมโรคและแมลงยังคงมี แต่ผู้คนเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่อ่อนโยนและปลอดภัยต่อระบบนิเวศมากกว่า

การขยายตัวของตลาด Biostimulants ส่วนหนึ่งมาจากการที่เกษตรกรยุคใหม่เข้าใจหลักการดูแลพืชแบบเน้นเสริมภูมิคุ้มกันภายในมากขึ้น สารกระตุ้นชีวภาพช่วยให้พืชแข็งแรงตั้งแต่ต้น ลดความจำเป็นต้องใช้สารเคมีรุนแรงลงอย่างเป็นรูปธรรม และยังตอบโจทย์ตลาดผู้บริโภคที่ต้องการอาหารปลอดภัยจากสารตกค้าง เทรนด์นี้ยังสอดรับกับกฎระเบียบด้านการส่งออกของหลายประเทศที่เข้มงวดเรื่องสารเคมีมากขึ้น ทำให้ผู้ส่งออกพืชผลจำเป็นต้องใช้วิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

อีกปัจจัยสำคัญคือการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพทำให้การสกัดสารธรรมชาติได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น สารกระตุ้นชีวภาพในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่สารสกัดหยาบ ๆ อีกต่อไป แต่มีการออกแบบสูตรที่เหมาะกับพืชแต่ละชนิดหรือช่วงการเจริญเติบโต ลดความเสี่ยงของโรคและแมลงได้ตั้งแต่ต้นทาง เกษตรกรที่เคยพึ่งสารเคมีเต็มรูปแบบ เริ่มแบ่งสัดส่วนงบประมาณมาใช้ Biostimulants มากขึ้น เพราะเห็นว่าการลงทุนในพืชที่แข็งแรงย่อมคุ้มค่ากว่าการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ

หากมองในภาพรวม แม้ตลาดสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชจะยังมีขนาดใหญ่กว่า แต่ทิศทางการเติบโตของตลาด Biostimulants ที่สูงกว่าชัดเจน คือสัญญาณว่าโลกเกษตรกำลังเปลี่ยนไปสู่การผลิตที่ปลอดภัยและยั่งยืนมากขึ้น ผู้ผลิต ผู้ส่งออก และผู้บริโภคต่างได้ประโยชน์ร่วมกันจากวิธีนี้ เพราะนอกจากจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังตอบโจทย์แนวโน้มการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างอนาคตเกษตรที่สมดุลและคงอยู่ได้จริง